การทำ seo จะแบ่งเป็นสองส่วนใหญ่ๆ คือการปรับแต่ง SEO on page , SEO off page วันนี้จะมาแนะนำการทำ SEO on page กัน ด้วยกัน 3 ส่วนหลักๆดังนี้ที่ควรปรับเป็นหลัก
seo on page
1. Title Tag
คือ ข้อความที่แสดงบน Title Bar ของบราวเซอร์ เป็นข้อความสำหรับบอกให้ทราบว่าหน้าเว็บไซต์ที่กำลังแสดงผลอยู่นั้นมีหัวข้อเกี่ยวกับอะไร ข้อความใน Title Tag ควรมีความยาว 60-70 ตัวอักษร และควรหลีกเลี่ยงอักขระพิเศษต่าง ๆ
สรุปคือ : ข้อความ ตามภาพด้านล่าง ในกรอกสีแดง ( Title) เมื่อเราปรับ seo setting จะโชว์ตรงนี้ เป็นหัวรายละเอียดของเว็บ ทำให้คนอ่านแล้วอยากคลิ๊กอ่านแล้ว สร้างความน่าสนใจหัวข้อหลัก
2. Meta Description
ใช้สำหรับแสดงรายละเอียดโดยย่อของหน้าเว็บไซต์ที่แสดงผลอยู่ ซึ่งข้อความไม่ควรสั้น หรือ ยาวจนเกินไป และควรสัมพันธ์กับเนื้อหาของหน้านั้น ๆ ความยาวของคำอธิบายไม่ควรเกิน 200 อักษร
สรุปคือ : รายละเอียดของเว็บ สร้างความน่าสนใจเพิ่มเติม และให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเว็บของท่านเอง เวลาคนคลิ๊กเสริชข้อมูลจะเลือกดู title และ Description ดูรายละเอียดปลีกย่อยว่าน่าสนใจมาก น้อยแค่ไหน และเกี่ยวกับอะไร มีอะไรที่จะทำให้คนอยากเข้าเว็บคุณ
3. Meta Keyword
คือ คำค้นที่ใช้ระบุสำหรับการค้นหาผ่าน Search Engine โดยคำค้นที่กำหนดควรสอดคล้องกับเนื้อหาในหน้านั้นๆ คำค้นแต่ละคำจะต้องคั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาค (,)(comma) โดยความยาวที่ระบบรองรับจะต้องไม่เกิน 255 อักษร
สรุปคือ : คีย์เวิดร์ หรือคำ ที่ตรงกับ เว็บของคุณ และ ใช้ในการทำ seo เช่นเว็บ “ ขายรองเท้า” จะใช้คีย์เวิดร์ “เครื่องสำอาง” มันไม่สัมพันธ์กัน จะต้องใช้เป็น “ขายรองเท้า ,รองเท้า , รองเท้าราคาถูก”เป็นต้น….. เพื่อที่คนจะได้ค้นหาคีย์เวิดร์ของเราและเจอเว็บของเรา โดยตรง
(ปกติคีย์เวิดร์จะไม่ถูกโชว์ในหน้าแรก googleจะถูกโชว์เฉพาะ title ลิ้งค์เว็บ และ Description เท่านั้น แต่มีความสำคัญมากที่จะต้องตั้งค่าใน onpage)
และนอกจาก 3 ข้อที่กล่าวมาก็ยังมีส่วนอื่นๆนำมานับคะแนนด้วยเช่น
Domain : โดเมนหรือ url เว็บไซต์นั้นสำคัญ ถือเป็นอันดับต้นๆในหลายๆปีของการทำ seo ที่คนส่วนใหญ่นั้นให้ความสำคัญเรื่องโดเมนหรือ url เว็บไซต์ จำเป็นไหมที่จะต้องตั้งชื่อเว็บตาม แบรนด์ของเราหรือ สินค้าที่เราขาย หรือตามเว็บที่เราอยากเปิดหรือ จะต้องตั้งชื่อเป็นภาษาไทย
ตอบ: ไม่จำเป็น มีผลต่อ seo เพียง 20-30% แต่จริงๆการตั้ง ตรงตามคีย์เวิดร์ หรือตามชื่อแบรนด์ หรือ ตามสินค้าที่ขายจะช่วยให้คนจดจำภาพลักษณ์แบรนด์สินค้าหรือตัวเว็บได้ดีกว่า การใช้ชื่อที่ คนจดจำได้ยาก และ มีผลต่อ seo เช่นกัน แต่ถ้าหากชื่อไม่ได้ก็มองข้ามผ่านไป เน้นที่การเซ็ทค่า seo setting ก็ได้เช่นกัน
content : บทความบนเว็บไซต์ ซึ่งเราจะต้องมีเนื้อหาหรือมีคอนเทนต์บนเว็บเพื่อสร้างคนเข้าชม(ทราฟฟิค) บนเว็บไซต์ของเรา และมีผลต่อ seo เช่นกัน บทความบางบทความสามารถทำอันดับบน google ได้ด้วยตัวของมันเองโดยที่เราไม่ต้องทำอะไร
about : การแนะนำตัวหรือ ความน่าเชื่อถือบนเว็บ เว็บเรา ไม่ว่าจะเป็นเว็บประเภทอะไรควรจะมี “ความน่าเชื่อถือ การแนะนำตัว การบอกข้อมูลของบริษัท ข้อมูลตัวตนคร่าวๆ” ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและยังถือเป็นการปรับออนเพจที่ดี (แต่ปัจจุบันไม่ค่อยนิยม) หากเป็นประเภทเว็บทั่วไปจะไม่นิยม หากเป็น Blog จะนิยมมีส่วนนี้
Heading : หรือหัวเว็บ หรือ หากดูตามภาพจะเห็นว่า อีกชื่อนึงคือ Page Header ตามภาพจะแบ่งเป็นสามส่วน
- ส่วนหัวเว็บ
- ส่วนกลางเว็บหรือส่วนเนื้อหา
- ส่วนFooter ส่วนท้ายเว็บ
Anchor Text (แองเกลอเทค) : คีย์เวิดร์บนเว็บไซต์ ที่ใช้ ในแต่ละส่วนของ เนื้อหาบนเว็บ พูดง่ายๆคือบนเว็บควรจะมีเนื้อหาในหน้าแรกไม่ใช่มีแต่รูปภาพเพราะนั้น เป็น ขยะ(SEO) หรือพูดง่ายๆ ทำ SEO ยากกว่าแบบเว็บประเภทข้อความ ที่มีข้อความเยอะๆ หรือ มีข้อความคละรูปภาพ
(Alt Tag) หรือ Alt Image Tag ชื่อของรูปภาพบนเว็บไซต์ : ไม่ว่าภาพใดๆก็แล้วแต่ ควรจะใส่ชื่อรูปภาพหรือใส่เป็นคีย์เวิดร์บนเว็บ จะช่วยเรื่อง seo ได้มาก
Duplicate content : ตัวนี้หมายความว่า เนื้อหาบทความที่ ซ้ำซากก็อปปี้มาแล้วมาลงบนเว็บ = ขยะ นอกจากไม่ช่วย seo ยังทำให้ถูก google มองว่าเป็นขยะเสียเครดิตภาพลักษณ์เว็บเสีย บทความที่ลงบนเว็บ ควรจะเป็นบทความสดใหม่ เขียนขึ้นเองไม่ซ้ำใคร
Useful Content – for user not bot : บทความที่เขียน คือบทความที่ ควรจะให้คนอื่นเข้ามาอ่านไม่ใช่การ spin หรือการทำบทความสำหรับบอทอ่านบทความที่ ตัดแปะ ก็อปคนนู้นมาใส่ตรงนี้ ก็อปคนนี้มาแปะตรงนั้น เป็นต้น แบบนี้ ก็จะถูก google มองว่า =ขยะ ไม่ใช่การทำ seoที่คุณภาพ
สนใจติดต่อสอบถามได้ที่
เบอร์ติดต่อ095-058-4973
LINE: mod0623
EMAIL: cherdsuk.k@gmail.com
FACEBOOK: Gathersidea
WEB: meetingsidea.com